หากใครได้มีโอกาสเดินทางมายังริมทะเลสาบซงซานหูเมืองตงก่วน สิ่งที่จะสะกดสายตาของทุกคนไม่ใช่ทิวทัศน์ของทะเลสาบ หากแต่เป็นอาคารทรงยุโรปนับสิบแห่ง ที่หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นสวนสนุกหรือเมืองจําลอง ที่แห่งนี้แท้ที่จริงแล้วคือ Ox Horn Campus ของบริษัทหัวเว่ย ซึ่งเปิดใช้งานเป็นศูนย์ R&D ของหัวเว่ยเมื่อปี ๒๕๖๑ และนอกจากแคมปัสแห่งนี้ บริษัทหัวเว่ยยังมีสํานักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เขตหลงกิ่ง เมืองเซินเจิ้น ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางไม่ แพ้กัน โดย “อาณาจักรหัวเว่ย” ที่เมืองเซินเจิ้นนั้น เป็นที่ตั้งของศูนย์จัดแสดงของบริษัท ได้แก่ Digital Transformation Exhibition Hall และ Galileo Exhibition Hall ซึ่งเป็นศูนย์จัดแสดงที่จะทําให้เรารู้จักกับบริษัทแห่งนี้มากขึ้น Digital Transformation Exhibition Hall เป็น Hall สําหรับจัดแสดงข้อมูลธุรกิจของหัวเว่ย โดยเฉพาะ solution สําหรับภาครัฐและเอกชน เช่น การใช้เทคโนโลยี 5G เพื่อตรวจสอบสภาพการจราจรบนท้องถนน ระบบ จัดส่งข้อมูลลูกค้าที่ต้องการเปิดบัญชีกับธนาคารให้กับหน่วยงานตรวจสอบความน่าเชื่อถือ การใช้ Blockchain เพื่อ ทําธุรกรรมระหว่างวิสาหกิจ การพัฒนาระบบ Cloud Computing เป็นต้น ขณะที่ Galileo Exhibition Hall เน้น จัดแสดงการประยุกต์ใช้นวัตกรรม 5G เช่น การควบคุมเครื่องจักรภายในเหมือง การควบคุมอุปกรณ์การแพทย์เพื่อผ่าตัดทางไกล การถ่ายทอดสดผ่านกล่องสัญญาณขนาดกะทัดรัด การร่วมเล่นดนตรีโดยสมาชิกในวงอยู่กันคนละมุมโลก เป็นต้น ข้อมูลจากศูนย์จัดแสดงยังระบุว่า ปัจจุบัน จีนมีผู้ใช้บริการ 5G ทั้งหมด ๑๔๐ ล้านคน และหัวเว่ยมีฐานรับส่งสัญญาณและฐานผู้ใช้บริการมากที่สุดในจีน
.
เมื่อทําความรู้จักหัวเว่ยผ่านศูนย์จัดแสดงทั้งสองแห่งนี้แล้ว หลายท่านคงเริ่มเห็นภาพว่า หัวเว่ยไม่ได้มีดีแค่สมาร์ทโฟนเท่านั้น และยิ่งเผชิญกับสงครามเทคโนโลยีกับสหรัฐฯยิ่งทําให้หัวเว่ยต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ cloud Computing ซึ่งได้ให้บริการครอบคลุมทั้ง Computing power cloud storage ไปจนถึง ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมีความล้ําหน้ามากกว่าบริษัทอาลีบาบาและบริษัทเทนเซ็นต์ และยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล จีนเพื่อทํา public cloud อีกด้วย หัวเว่ยยังพัฒนาธุรกิจยานยนต์ไร้คนขับ โดยได้ตั้งทีมพัฒนาไลดาร์เซนเซอร์ราคา ประหยัดซึ่งใช้ในยานยนต์ไร้คนขับ โดยมีแผนจะจําหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีช่องรับส่งเลเซอร์ ๑๐๐ – ๒๐๐ ช่องในราคาไม่ เกิน ๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแผนของทางการจีนที่จะให้รถยนต์ไร้คนขับเริ่มเข้าสู่ตลาดจีนภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ อีกทั้งหัวเว่ยยังได้รับอนุญาตจากหน่วยงานท้องถิ่นให้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ อัจฉริยะที่เขตไป๋หยุนของนครกว่างโจวด้วย
.
เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ บริษัทหัวเว่ยได้ตัดสินใจขายบริษัท Honor แบรนด์โทรศัพท์มือถือราคาประหยัดออกไป ซึ่งจะช่วยให้บริษัทหัวเว่ยสามารถโฟกัสกับแบรนด์สมาร์ทโฟนของตนเอง และที่สําคัญมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านอื่น ๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นได้อย่างเต็มที่
.
สําหรับประเทศไทย “หัวเว่ย” เป็นชื่อที่รู้จักกันค่อนข้างแพร่หลาย โดยเฉพาะในฐานะแบรนด์สมาร์ทโฟนรายใหญ่ของจีน โดยบริษัทหัวเว่ยได้เข้ามาประกอบธุรกิจในไทยมาเป็นเวลา ๒๑ ปีแล้ว มีพนักงานมากกว่า ๓,๒๐๐ คน ประมาณร้อยละ ๘๐ เป็นคนไทย ทั้งนี้ ภายใต้นโยบายสําคัญของรัฐบาลอย่าง “Thailand 4.0” และ “EEC” เพื่อก้าวสู่การเป็นดิจิทัลฮับของไทยนั้น หัวเว่ยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาดังกล่าว เช่น การวางโครงข่ายพื้นฐาน 5G ในพื้นที่ EEC และจัดตั้ง OpenLab สําหรับวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการรวมทั้งมีแพลตฟอร์มที่ให้มหาวิทยาลัยและ Start-up ด้านเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานได้ และเมื่อเร็วๆนี้ หัวเว่ยได้ ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลฯ จัดตั้ง Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) เพื่อเป็น platform สําหรับส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในอุตสาหกรรมสาขาต่างๆของไทย
.
นอกจากนี้บริษัทหัวเว่ยยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะแรงงาน โดยร่วมกับกระทรวงแรงงานเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานในด้านระบบและการติดตั้งอุปกรณ์โทรคมนาคม และร่วมกับมหาวิทยาลัยไทยเพื่อจัดโปรแกรม ฝึกอบรมนักศึกษา เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมใน EEC ซึ่งยังขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพสูง
.
เห็นได้ว่า ด้วย “ขุมกําลัง” ทางเทคโนโลยีที่มีอยู่เต็มเปี่ยม หัวเว่ยสามารถมีบทบาทที่สร้างสรรค์ต่อการพัฒนาเทคโนโลยีของไทยได้อย่างมากมาย และตามที่เคยมีผู้กล่าวว่าเทคโนโลยี 4G เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยน lifestyle ของแต่ละบุคคล ส่วนเทคโนโลยี 5G จะเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงทั้งสังคม ดังนั้น 5G จึงแยกไม่ออก จากภาครัฐในฐานะผู้กํากับการพัฒนาว่าจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงเป็นเวลาที่สําคัญอย่างยิ่งสําหรับรัฐและสังคมไทยที่ต้องครุ่นคิดอย่างจริงจังว่า เราจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไรสําหรับ 5G, ยานยนต์ไร้คนขับ, cloud Computing, blockchain, big data, ปัญญาประดิษฐ์ ฯลฯ ในเมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้เริ่มปรากฎพร้อมอยู่ตรงหน้าแล้ว
.
สกญ. ณ นครกว่างโจว