ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ชิลีเผชิญกับภาวะความไม่สมดุลของเศรษฐกิจในระดับมหภาคซึ่งเป็นผลมาจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะการอนุมัติให้ ประชาชนสามารถถอนเงินจากกองทุนบำนาญล่วงหน้า ซึ่งทำให้เกิดการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนที่มากเกินตัว นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี นอกจากนี้ ชิลียังต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก กล่าวคือ ความผันผวนของราคาสินค้าและปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลกสืบเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย – ยูเครน อย่างไรก็ดี การที่ชิลีมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่เข้มงวดของธนาคารกลางชิลี และแรงหนุนจากภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ทำให้ในปี 2567 เศรษฐกิจชิลีเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อัตราการขยายตัว
จากข้อมูลของ IMF ในปี 2567 เศรษฐกิจชิลีขยายตัวร้อยละ 2.5 กระเตื้องขึ้นจากปีก่อนที่อัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 0.2 ตามการบริโภคภาคเอกชนและภาคส่งออกที่เติบโต โดยเฉพาะภาคเหมืองแร่ ซึ่งส่วนหนึ่งได้แรงหนุนในเชิงบวกจากราคาทองแดงในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยมี GDP รวมทั้งปี 2567 อยู่ที่ 3.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และ GDP ต่อหัวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 16,370 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี (ลดลงจาก 16,810 ดอลลาร์ สหรัฐ/คน/ปี ในปี 2566) สำหรับปี 2568 และ 2569 ธนาคารกลางชิลีคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ระหว่างร้อยละ 1.5 ถึง 2.5 โดยแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจจะมาจากการขยายตัวต่อเนื่องของการบริโภคภาคเอกชน ภาคการลงทุนที่จะทยอยฟื้นตัว และอาจมีปัจจัยหนุนจากรายได้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มเติบโต และการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ตลอดจนอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ยังคงมีต่อสินค้าแร่ธาตุที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เช่น ทองแดง และลิเทียม
อัตราเงินเฟ้อ
อัตราเงินเฟ้อของชิลีปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 สืบเนื่องจากการยกเลิกมาตรการตรึงอัตราค่าไฟของรัฐบาล ซึ่งนำไปสู่การทยอยปรับขึ้นค่าไฟเพื่อคืนรายได้ให้แก่ผู้ผลิตไฟฟ้า มาตรการดังกล่าวประกอบกับการขยายตัวของค่าจ้างแรงงาน และความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลกที่ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าและกระทบต่อค่าเงินเปโซ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 4.5 โดยธนาคารกลางชิลีคาดการณ์ว่า การปรับขึ้นค่าไฟจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2568 ทรงตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4 ก่อนที่จะลดลงตามกรอบเป้าหมายที่ธนาคารฯ ตั้งไว้ที่ร้อยละ 3 ในปี 2569
การค้า
จากข้อมูลของสำนักรัฐมนตรีช่วยด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศชิลี (SUBREI) ในปี 2567 การค้าระหว่างประเทศของชิลีมีมูลค่ารวม 184.318 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับปี 2566 ด้วยแรงหนุนจากภาคการส่งออก โดยชิลีได้ดุลการค้าทั้งสิ้น 22.138 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกของชิลีในปี 2567 มีมูลค่ารวม 100.163 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 5.9 จากปีก่อนหน้า โดยมีสัดส่วนของผลผลิตจากภาคการเหมืองแร่มากที่สุด คือ ร้อยละ 57 ของการส่งออกทั้งหมด สินค้าส่งออกสำคัญของชิลี ได้แก่ (1) ทองแดง ยังคงเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุด คือ 50.858 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.3 จากปีก่อนหน้า (2) อาหารแปรรูป เช่น ผลไม้แช่แข็ง เนื้อสัตว์ปีก หอยแมลงภู่ ปลาป่น เนื้อหมู และปลากระป๋อง มีมูลค่าการส่งออกรวม 12.824 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.3 (3) ผลไม้สด เช่น เชอร์รี่ องุ่น แอปเปิ้ล กีวี่ ลูกพลัม และอะโวคาโด มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นประวัติการณ์ ที่ 8.245 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 28.6 (4) แซลมอน มีมูลค่าการส่งออก 6.043 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.4 (5) เยื่อกระดาษ มีมูลค่าการส่งออก รวม 2.968 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.3 (6) แร่ลิเทียม มีมูลค่าการส่งออก 2.893 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 56.6 (7) ไม้และเฟอร์นิเจอร์ไม้ เช่น ไม้แปรรูป ไม้อัด และแผ่นใยไม้อัด มีมูลค่าการส่งออกรวม 2.356 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 (8) ไวน์ มีมูลค่าการส่งออก 1.636 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 และ (9) เคมีภัณฑ์ ไอโอดีนมีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุดในกลุ่มสินค้าเคมีภัณฑ์ 1.436 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 ตามด้วยเมทานอลและโพแทสเซียมไนเตรต โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน (ร้อยละ 37.3) สหรัฐฯ (ร้อยละ 16.1) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 8.1) บราซิล (ร้อยละ 5) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 4.8) และอินเดีย (ร้อยละ 2.6)
สำหรับภาคการบริการในปี 2567 มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 2.869 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 การบริการที่สำคัญของชิลี ได้แก่ (1) การให้บริการ hosting สำหรับเว็บไซต์และอีเมล มีมูลค่ารวม 392 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2) การบำรุงรักษาและซ่อมแซมเครื่องบิน มีมูลค่ารวม 378 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3) การสนับสนุนทางเทคนิคด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศผ่านอินเทอร์เน็ต มีมูลค่ารวม 189 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4) การให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มีมูลค่ารวม 107 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ (5) การให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ/การตลาด มีมูลค่ารวม 102 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากการบริการทั้ง 5 สาขานี้แล้ว ชิลียังมีการส่งออกบริการด้านอื่น ๆ เช่น การออกแบบซอฟต์แวร์ การทำภาพยนตร์โดยใช้เทคนิคแอนิเมชัน และวิศวกรรมสำหรับการทำเหมืองแร่ทองแดง โดยมีตลาดการส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ เปรู และโคลอมเบีย การนำเข้าของชิลีในปี 2567 มีมูลค่ารวม 84.155 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากมีความต้องการนำเข้าที่ลดลงสำหรับกลุ่มสินค้าเครื่องยนต์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า น้ำมันดีเซล ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันเบนซิน อย่างไรก็ดี การนำเข้าสินค้าบางกลุ่มมีตัวเลขสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อะไหล่/ชิ้นส่วนของเครื่องจักร โทรศัพท์มือถือ เนื้อสัตว์ รองเท้า เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และยา โดยมีประเทศนำเข้าสำคัญ ได้แก่ จีน (ร้อยละ 24) สหรัฐฯ (ร้อยละ 19) บราซิล (ร้อยละ 9) อาร์เจนตินา (ร้อยละ 9) เยอรมนี (ร้อยละ 3) และเปรู (ร้อยละ 3)
การลงทุน
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของชิลีในปี 2567 มีมูลค่าสะสม 15.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 29.5 เมื่อเทียบกับเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศในปี 2566 อย่างไรก็ดี หน่วยงานส่งเสริมการลงทุนของชิลี (InvestChile) ชี้ว่า การปรับตัวลดลงของ FDI ไม่ได้สะท้อนว่านักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจหรือสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจของชิลี แต่เป็นเพราะยอด FDI ขาเข้าของปี 2566 เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา (21.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จึงถือเป็นตัวเปรียบเทียบที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ
ในขณะที่ Corporación de Bienes de Capital (องค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไร) ประเมินว่า การลงทุนจากต่างชาติจะมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 77 ของการลงทุนภาคเอกชนทั้งหมดภายในปี 2571 (หากย้อนไปในปี 2561 จะเห็นได้ว่า ชิลีมีสัดส่วนการลงทุนจากต่างชาติเพียงร้อยละ 45) โดยอุตสาหกรรมพลังงานและการเหมืองแร่เป็นสาขาที่มีการเติบโตของสัดส่วนเงินทุนจากต่างประเทศชัดเจนที่สุด ซึ่ง InvestChile เห็นว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นสัญญาณที่ดีเกี่ยวกับความร่วมมือระยะยาวระหว่างภาครัฐกับเอกชนในการแสวงหาความหลากหลายให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ และแม้ว่าในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมาจะมีปัจจัยความเสี่ยงทางการเมืองที่สั่นคลอนระบบตลาดเสรีที่ชิลียึดถือมายาวนาน และก่อให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุนเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ในภาพรวม ชิลียังคงได้รับความเชื่อมั่นและความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคงในแง่เสถียรภาพเชิงสถาบัน การมีกรอบนโยบายทางเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่ง และความแน่นอนทางกฎหมาย
รัฐบาลชิลีมีการกำหนดเป้าหมายในการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในสาขาต่าง ๆ โดยให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนชาวชิลีและนักลงทุนต่างชาติอย่างเท่าเทียมกัน โดยข้อมูลจาก InvestChile ระบุว่า การส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 เพิ่มสูงขึ้นทั้งในแง่ของจำนวนโครงการ และมูลค่าเงินลงทุนคิดเป็นเงินลงทุน 56.234 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงขึ้นร้อยละ 68 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยมีบริษัทต่างชาติขอรับการส่งเสริม จำนวน 474 โครงการ ในปี 2567 อุตสาหกรรมที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ (1) พลังงาน มูลค่า 36.82 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ในอุตสาหกรรมพลังงาน โครงการเกี่ยวกับไฮโดรเจนสีเขียวเป็นสาขาที่มีการลงทุนสะสมมากที่สุด มูลค่า 25.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) (2) การเหมืองแร่ มูลค่า 8.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (3) การบริการและเทคโนโลยี 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (4) โครงสร้างพื้นฐาน 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ (5) อุตสาหกรรมอาหาร 1.27 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ขอรับการส่งเสริมสูงเป็นอันดับ 1 มูลค่า การลงทุน 20.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วยออสเตรีย มูลค่าการลงทุน 11.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แคนาดา มูลค่าการลงทุน 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จีน มูลค่าการลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสเปน มูลค่าการลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ เป็นครั้งแรกที่มีโครงการของบริษัทซาอุดิอาระเบียขอรับการสนับสนุนจาก InvestChile มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ด้านโครงสร้างพื้นฐาน)
ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก
เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์
