เมื่อ 28 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์อินสบรุคค์ซึ่งเป็นสถาบันการอุดมศึกษาแห่งแรกได้ออกมาตรการ “1G” กล่าวคือ ให้นักศึกษาทุกคนที่สามารถฉีดวัคซีนได้ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน COVID-19 จึงจะสามารถเข้าศึกษาต่อในภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วงได้ ทั้งนี้ นาย Heinz Faßmann รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า เป็นอํานาจของอธิการบดีแต่ละมหาวิทยาลัย ทว่ามาตรการ “3G” ที่ให้แสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนการตรวจเชื้อเป็นลบหรือหายป่วยแล้ว มีโอกาสปฏิบัติได้จริงและง่ายกว่า ทางด้านประธานาธิบดีออสเตรีย นาย Alexander Van der Bellen ได้เผยแพร่คลิปวีดิทัศน์ผ่านบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ (Facebook และ YouTube) โดยวันที่ 30 สิงหาคม 2564 ได้เรียกร้องให้ชาวออสเตรียออกไปฉีดวัคซีน COVID-19 โดยถือเป็นการเสียสละเพียงเล็กน้อยเพื่อปกป้องตัวเองและคนใกล้ชิด และเพื่อให้ชาวออสเตรียสามารถใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาวของปีนี้เหมือนกับในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
.
Agency for Health and Food Safety รายงานว่า กลุ่มอายุที่มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 มากที่สุดในช่วงสัปดาห์ที่ผานมาคือช่วงอายุ 15-24 ปี ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 22.4 ของจํานวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด อยางไรก็ดี สัดส่วนดังกล่าวลดลงจากเมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งกลุ่มอายุ 15-24 ปี เป็นร้อยละ 37.9 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด นอกจากนี้ อายุเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อในสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 32.1 ปี ซึ่งเป็นอายุเฉลี่ยที่สูงที่สุดในรอบ 10 สัปดาห์ ทังนี้ นาย Wolfgang Mückstein รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออสเตรีย (พรรค Green และพรรครวมรัฐบาล) แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ได้เตรียมแผนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 สําหรับฤดูใบไม้ร่วงไว้แล้ว ซึ่งอาจรวมถึงมาตรการบังคับตรวจเชื้อผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศการบังคับสวมหน้ากาก และมาตรการส่งเสริมการฉีดวัคซีนในวงกว้าง โดยมีเป้าประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดธุรกิจต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากเนื่องจากยังอยูระหว่างการเจรจากับพรรค ÖVP ซึ่งเป็นแกนนํารัฐบาล
.
จากการสำรวจตัวเลขผู้ติดเชื้อในวันที่ 31 สิงหาคม 2564 อัตราผู้ติดเชื้อเพิ่มในห้วง 7 วันของออสเตรียอยู่ที่ 110.5 คน ต่อประชากร 1 แสนคน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการรายงานรอบสัปดาห์ก่อนหน้า (92.7 คน ต่อประชากร 1 แสนคน) โดยกรุงเวียนนาเป็นรัฐที่มีอัตราผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงสุดในประเทศที่ 154.7 คน ต่อประชากร 1 แสนคน ในขณะที่รัฐคารินเทียมีอัตราผู้ติดเชื้อเพิ่มตํ่าสุดในประเทศที่ 62.6 คน ต่อประชากร 1 แสนคน สําหรับอัตราการแพร่ระบาดฯ (Reproductive number: R) สถานะวันที่ 31 สิงหาคม 2564 อยู่ที่ประมาณ 0.97 (1.2 ในสัปดาห์ก่อนหน้า) ด้านรัฐออสเตรียล่าง เป็นรัฐแรกของออสเตรียที่เริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่สาม (booster dose) ให้แก่ประชาชน โดยเริ่มฉีดวัคซีนของบริษัท Pfizer และ BioNTech ให้แก่ผู้ป่วยความเสี่ยงสูงในบ้านพักคนชราตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2564 และมีแผนจะเริ่มฉีดให้บุคคลทั่วไปที่มีอายุ 65 ปีขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเร็วกว่าที่รัฐบาลสหพันธ์เคยวางแผนไว้ว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่สามตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2564 นอกจากนี้ รัฐซาลส์บูร์กมีแผนจะเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่สามให้แก่ผู้ป่วยความเสี่ยงสูงและบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ขณะที่รัฐออสเตรียบนและรัฐบูร์เกนลันด์อยู่ระหว่างรอคําแนะนําเพิ่มเติมจากรัฐบาลสหพันธ์
.
อย่างไรก็ตาม กรุงเวียนนาได้ประกาศลดอายุการใช้งาน (validity) ของหลักฐานการตรวจเชื้อแบบ PCR เป็นลบเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นมา สรุปได้ว่า การใช้งานของหลักฐานการตรวจเชื้อแบบ PCR เป็นลบนั้น (validity) มีอายุได้เพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น (จากเดิม 72 ชั่วโมง) นับตั้งแต่เวลาเก็บตัวอย่าง และหลักฐานการตรวจเชื้อแบบ Rapid Antigen เป็นลบ มีอายุการใช้งานได้เพียง 24 ชั่วโมง (จากเดิม 48 ชั่วโมง) อย่างไรก็ดี สําหรับเด็กที่มีอายุตํ่ากว่า 12 ปี หลักฐานดังกล่าวยังคงมีอายุการใช้งานคงเดิม คือ 72 ชั่วโมงสําหรับแบบ PCR และ 48 ชั่วโมงสําหรับแบบ Rapid Antigen ทั้งนี้ รัฐบาลกรุงเวียนนามีแผนที่จะทยอยปิดศูนย์ตรวจเชื้อแบบ Rapid Antigen บางส่วน และเปิดศูนย์เก็บตัวอย่างสําหรับการตรวจแบบ PCR ทดแทน
.
จากสถานการณ์ข้างต้น แม้ว่าจะมีรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศออสเตรียเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง แต่ด้วยมาตรการของรัฐบาลในการวางแผนฉีดวัคซีนให้กับประชาชน อาจทำให้ความรุนแรงของการระบาดฯ ทุเลาลง ส่งผลต่อเนื่องไปยังการใช้จ่ายของประชาชนชาวออสเตรียที่อาจกลับมาคึกคักอีกครั้ง ผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจในออสเตรียโดยเฉพาะภาคบริการ เช่น สถานประกอบการสปา และร้านอาหาร ควรติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ และมาตรการที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับตัวรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อธุรกิจ
.
สถานเอกอัคราชทูตและคณะผู้แทนถาวรฯ ณ กรุงเวียนนา