สาระสำคัญ
- นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาวาย (University of Hawaii) ได้ทดลองใช้ “เชื้อราทะเล” (Marine Fungi) ในการย่อยสลายพลาสติกในมหาสมุทร โดยเฉพาะพลาสติกชนิดโพลียูรีเทน (Polyurethane) ซึ่งเป็นหนึ่งในพลาสติกที่ใช้แพร่หลายที่สุดในโลก งานวิจัยนี้มีศักยภาพในการเป็นทางออกใหม่ในการจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและย่อยสลายยาก
- จากการทดลองพบว่า กว่าร้อยละ 60 ของเชื้อราทะเลที่เก็บได้สามารถย่อยพลาสติกได้ และหลังจากทดลองปรับสภาพเชื้อราและให้สัมผัสกับพลาสติกต่อเนื่อง พบว่า อัตราการย่อยพลาสติกของเชื้อราบางสายพันธุ์ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 ภายใน 3 เดือน
ทั่วโลกมีการใช้พลาสติกที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูก แข็งแรง และมีประโยชน์มาก พลาสติกไม่สามารถย่อยสลายได้ แต่จะแตกตัวเป็นไมโครพลาสติกเมื่อโดนแสงแดด ความร้อน หรือแรงทางกายภาพ โดยพลาสติกชนิดโพลียูรีเทน (Polyurethane) เป็นหนึ่งในพลาสติกที่ใช้แพร่หลายที่สุดในโลก ส่วนมากนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม
การใช้พลาสติกที่เพิ่มมากขึ้นก็ก่อให้เกิดขยะพลาสติกเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ขยะพลาสติกที่รั่วไหลลงสู่ทะเลนับว่าเป็นปัญหามลพิษที่สำคัญที่สุด ตามรายงานในปี 2552 (ค.ศ. 2009) ระบุว่า มีขยะพลาสติกประมาณ 8 ล้านชิ้นต่อวันไหลลงสู่ทะเล ยิ่งกว่านั้นพบว่ามีการแพร่ขยายของขยะพลาสติกในทะเลอย่างรวดเร็ว ผลกระทบที่ชัดเจน คือ การก่อตัวของ “แพขยะขนาดใหญ่ในมหาสมุทรแปซิฟิก” (Great Pacific Garbage Patch) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าประเทศฝรั่งเศสถึง 3 เท่า
พลาสติกเหล่านี้ มักมีสารเคมีอันตราย เช่น พทาเลต (phthalates) และบิสฟีนอล เอ (bisphenol A: BPA) ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบนิเวศทางทะเลและสุขภาพมนุษย์ โดยพบว่าปลาที่จับมาเพื่อบริโภค 1 ใน 3 มีไมโครพลาสติกในตัว
ความสามารถของเชื้อราทะเลในการย่อยพลาสติก
ที่ผ่านมา มีการนำจุลินทรีย์หลายชนิดทั้งแบคทีเรียและเชื้อราที่เติบโตบนดินมาทดสอบความสามารถในการย่อยสลายพลาสติก ซึ่งหากว่าประสบผลสำเร็จก็จะสามารถนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ในการจัดการพลาสติกในระบบนิเวศได้ และค้นพบว่า เชื้อรามี “พลังพิเศษ” ในการย่อยวัสดุที่สิ่งมีชีวิตอื่นย่อยไม่ได้ เช่น ไม้ หรือไคติน
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาวาย (University of Hawaii) ในเมือง Mānoa เชื่อว่า เชื้อราทะเล (Marine Fungi) สามารถนำมาใช้ย่อยสลายพลาสติกในระดับที่มีนัยสำคัญทางสิ่งแวดล้อมได้หากพัฒนาให้เหมาะสมผ่านเทคโนโลยีชีวภาพ และเห็นว่าเป็น “แนวทางแก้ปัญหาที่มีแนวโน้มดีและยังไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์มากนัก” สำหรับการกำจัดขยะพลาสติกทั้งบนบกและในแหล่งน้ำของเรา
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีการศึกษาการย่อยพลาสติกโดยเชื้อราทะเล (marine fungi) ทั้งนี้ ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์รู้จักเชื้อราทะเลเพียงไม่ถึงร้อยละ 1 เนื่องจากมีนักวิจัยไม่กี่คนที่ศึกษาเชื้อราทะเล
การทดลองวิจัย
ทีมนักวิจัยได้เก็บตัวอย่างเชื้อราจากทราย สาหร่าย ปะการัง และฟองน้ำรอบเกาะโออาฮู (O’ahu) ที่ตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งของฮาวายมาทดสอบในจานเพาะเชื้อที่ใส่โพลียูรีเทน เพื่อทดสอบว่าเชื้อราสามารถย่อยสลายพลาสติกได้หรือไม่และเร็วเพียงใด รวมถึงนำเชื้อราที่เติบโตเร็วที่สุดมาทดสอบประสิทธิภาพของการย่อยสลายพลาสติก
เมื่อเวลาผ่านไปและเชื้อราได้มีการสัมผัสกับพลาสติกมากที่สุดพบว่า เชื้อราจะสามารถย่อยสลายพลาสติกได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เชื้อราทะเลอาจได้รับการปรับสภาพเพื่อให้ย่อยพลาสติกได้เร็วขึ้น
จากการทดลองพบว่า กว่าร้อยละ 60 ของเชื้อราทะเลที่เก็บได้สามารถย่อยพลาสติกได้ และหลังจากทดลองปรับสภาพเชื้อราและให้สัมผัสกับพลาสติกต่อเนื่องพบว่า อัตราการย่อยพลาสติกของเชื้อราบางสายพันธุ์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 ภายใน 3 เดือน
การศึกษาขั้นต่อไป
นักวิจัยจะศึกษากลไกในการย่อยพลาสติกของเชื้อราเหล่านี้ และทดสอบกับเชื้อราทะเลอื่น ๆ ว่าสามารถย่อยสลายพลาสติกได้หรือไม่ หรือย่อยพลาสติกชนิดอื่น ๆ ที่ย่อยสลายยากกว่าได้หรือไม่ โดยหวังว่าโซลูชันที่ค้นพบนี้จะสามารถนำมาใช้ทำความสะอาดชายหาดหรือทะเลครั้งใหญ่ในอนาคต
ข้อจำกัดและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
Dr. Antaya March แห่ง University of Portsmouth มีความเห็นว่า งานวิจัยครั้งนี้ “น่าตื่นเต้นและมีแนวโน้มที่ดี” แต่เตือนว่าการย่อยสลายพลาสติกด้วยวิธีทางชีวภาพไม่ควรถูกมองว่าเป็นคำตอบเดียว การลดการผลิตพลาสติกตั้งแต่ต้นทางผ่านกฎหมายและนโยบายระดับชาติและนานาชาติยังคงมีความสำคัญ
Falco Martin แห่ง Fauna & Flora ซึ่งเป็น NGOs ด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแนะนำว่า ควรเน้นที่ “การป้องกันไม่ให้พลาสติกเข้าสู่ระบบนิเวศทางทะเลมากกว่าการเก็บกู้เมื่อเกิดปัญหาแล้ว” ข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การห้ามใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียว การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการลดสารพิษในพลาสติก อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวมากกว่า
บทสรุป
แม้การค้นพบเชื้อราทะเลที่สามารถย่อยพลาสติกได้จะเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีชีวภาพ แต่นี่ไม่ใช่ทางออกที่เพียงพอสำหรับปัญหาขยะพลาสติกระดับโลก การแก้ไขต้องใช้วิธีการหลากหลายร่วมกัน ทั้งทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นโยบาย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ผลิตอย่างเป็นระบบ
แหล่งข้อมูล: https://www.euronews.com/green/2025/02/19/scientists-in-hawaii-are-training-hungry-marine-fungi-to-eat-ocean-plastics
ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูต/ คณะผู้แทนถาวรฯ ณ กรุงเวียนนา
เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์