สำนักข่าว The Straits Times ได้รายงานความเป็นมาของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ การย้ายฐานการผลิตจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความสามารถในการแข่งขันของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนี้
ความเป็นมาของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เริ่มขึ้นในช่วงปี 2513 เมื่อผู้ผลิตชิปจากสหรัฐอเมริกาได้เริ่มย้ายกระบวนการผลิตบางส่วนไปยังประเทศในเอเชีย ซึ่งมีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าและมีแรงงานที่มีทักษะ โดยมีสิงคโปร์และมาเลเซียเป็นประเทศแรก ๆ ที่ได้รับการลงทุนจากผู้ผลิตชิปของสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นจากกระบวนการประกอบ การทดสอบและการบรรจุหีบห่อ (Assemble, Testing, and Packaging: ATP) จนปัจจุบัน สิงคโปร์และมาเลเซียได้พัฒนาเป็นการหล่อเซมิคอนดักเตอร์เพื่อใช้ประกอบชิป ในขณะที่กระบวนการ ATP กระจายไปยังไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ทั้งนี้ ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยนโยบายอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมนวัตกรรมในประเทศ
การย้ายฐานการผลิตจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกา – จีนในปัจจุบัน ส่งผลให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกแสวงหาวิธีลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานจากมาตรการภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้น การควบคุมการส่งออก และข้อจํากัดด้านแร่ธาตุที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดยนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร HSBC เชื่อว่า การย้ายฐานการผลิตเดิมของเอเชียจะทำให้ภูมิภาคอาเซียนได้รับประโยชน์ทางการลงทุนสูงสุด
ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(1) สิงคโปร์: ได้พัฒนาจากประเทศที่ทำได้เพียงกระบวนการ ATP สู่ศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลกด้าน การประดิษฐ์และการออกแบบวงจรรวม (integrated circuit: IC) โดยสิงคโปร์ผลิตเซมิคอนดักเตอร์มากกว่าร้อยละ 10 ของผลผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยมีจุดแข็ง คือ การวิจัยและพัฒนา การผลิตชิปหน่วยความจําและชิป mature-node นอกจากนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ได้พัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยได้จัดตั้งศูนย์ National Semiconductor Translation and Innovation Centre (NSTIC) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระบบนิเวศ และเพิ่มผลลัพธ์ด้าน R&D translation และพัฒนา flat optics และ silicon photonics รวมทั้งจัดสรรเงินลงทุนเพื่อการวิจัย Research, Innovation and Enterprise 2025 (RIE2025) มูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ระหว่างปี 2565-2568 อย่างไรก็ดี สิงคโปร์ยังมีข้อจํากัดด้านต้นทุนการลงทุนสูงและมีพื้นที่จํากัด ทั้งนี้ ในปี 2565 สิงคโปร์มีส่วนแบ่งตลาด IC คิดเป็นร้อยละ 8.5 ของการส่งออก IC ทั่วโลก และในปี 2566 มีมูลค่าการส่งออก IC จำนวน 104,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ จำนวน 12,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(2) มาเลเซีย: เป็นแหล่งออกแบบ IC ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมาเลเซียเป็นผู้ส่งออกเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่อันดับ 6 ของโลก มีส่วนแบ่งตลาด ATP อยู่ที่ร้อยละ 13 มาเลเซียมีจุดแข็ง คือ บริการ Outsourced Semiconductor Assembly and Test (OSAT) และมีเครื่องจักรที่มีความแม่นยํา ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียได้ประกาศ National Semiconductor Strategy มูลค่า 25,000 ล้านริงกิต เพื่อดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูง และส่งเสริมกิจกรรม front-end เช่น การผลิตแผ่นเวเฟอร์ อย่างไรก็ดี มาเลเซียยังคงขาดแคลนผู้มีความรู้ความสามารถในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งนี้ ในปี 2565 มาเลเซียมีส่วนแบ่งตลาด IC คิดเป็นร้อยละ 8.2 ของการส่งออก IC ทั่วโลก และในปี 2566 มีมูลค่าการส่งออก IC จำนวน 74,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ จำนวน 10,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(3) เวียดนาม: เป็นผู้ส่งออกเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่อันดับ 3 ของเอเชียไปยังสหรัฐอเมริกา (รองจากมาเลเซีย และไต้หวัน) โดยมีจุดแข็ง คือ บริการ ATP และการออกแบบ IC ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามมี National Semiconductor Workforce Training Programme เพื่อมอบเงินอุดหนุนสำหรับบริษัท รวมทั้งทุนสนับสนุนการวิจัยที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี เวียดนามยังมีจุดอ่อนที่ยังไม่สามารถผลิตแผ่นเวเฟอร์ที่ดีเพียงพอได้ ขาดแคลนผู้มีความรู้ความสามารถ ขาดแรงจูงใจจากภาครัฐ และปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งทำให้แหล่งจ่ายไฟในบางพื้นที่ไม่เสถียร ทั้งนี้ ในปี 2565 เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาด IC คิดเป็นร้อยละ 1.8 ของการส่งออก IC ทั่วโลก และในปี 2566 มีมูลค่าการส่งออก IC จำนวน 32,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ จำนวน 10,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(4) ไทย: เป็นประเทศที่เน้นบริการ ATP การประกอบและทดสอบชิป การผลิต hard disk drives ซึ่งนับเป็นจุดแข็งของประเทศไทย อีกทั้งรัฐบาลยังมีนโยบายในการส่งเสริมการลงทุนด้วยการพยายามเจรจากับบริษัทที่ดำเนินการส่วน front-end ให้มาลงทุนในประเทศ เพิ่มการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และมีการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Hana Microelectronics กับเครือบริษัท ปตท. นักวิเคราะห์มองว่าจุดอ่อนของไทย ได้แก่ ช่องว่างของทักษะ การพึ่งพาการนําเข้าสูง และความคุ้มค่าในการลงทุนน้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ ในปี 2565 ไทยมีส่วนแบ่งตลาด IC คิดเป็นร้อยละ 1.5 ของการส่งออก IC ทั่วโลก และในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งออก IC จำนวน 9,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ จำนวน 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(5) ฟิลิปปินส์: เป็นสถานที่ประกอบและทดสอบที่สำคัญของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก โดยจุดแข็ง คือ บริการ ATP รัฐบาลฟิลิปปินส์มียุทธศาสตร์อุตสาหกรรมระดับนําร่องของชาติที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตใน 12 อุตสาหกรรมหลัก (รวมถึงอิเล็กทรอนิกส์) อย่างไรก็ดี จุดอ่อนของฟิลิปปินส์ คือ การขาดแคลนผู้มีความรู้ความสามารถ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เกี่ยวกับกรณีข้อพิพาททะเลจีนใต้ และขาดแคลนความต้องการชิปในประเทศ ทั้งนี้ ในปี 2565 ฟิลิปปินส์มีส่วนแบ่งตลาด IC คิดเป็นร้อยละ 3.4 ของการส่งออก IC ทั่วโลก และในปี 2566 ฟิลิปปินส์มีมูลค่าการส่งออก IC จำนวน 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ จำนวน 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(6) อินโดนีเซีย: แม้จะมีทรัพยากรเพื่อการผลิตเซมิคอนดักเตอร์จำนวนมาก แต่อินโดนีเซียยังคงตามหลังคู่แข่งในภูมิภาค เนื่องจากอินโดนีเซียขาดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ขาดแคลนผู้มีความรู้ความสามารถ และมีต้นทุนการลงทุนสูง ปัจจุบัน รัฐบาลอินโดนีเซียอยู่ระหว่างดำเนินแผนงานเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมซิลิกา และได้รับการลงทุนมูลค่า 11,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบริษัท Xinyi Glass Holdings ของจีน เพื่อสร้างโรงงานแปรรูปทรายซิลิกาบนเกาะ Rempang ทั้งนี้ ในปี 2565 อินโดนีเซียมีส่วนแบ่งตลาด IC คิดเป็นร้อยละ 0.06 ของการส่งออก IC ทั่วโลก และในปี 2566 อินโดนีเซียมีมูลค่าการส่งออก IC จำนวน 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการส่งออกอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ จำนวน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากข้างต้น สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าตลาดจะมีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่างปี 2573 – 2575 จากการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบัน เน้นบริการ ATP โดยในปี 2565 ไทยมีส่วนแบ่งตลาดด้านบริการ ATP ที่ร้อยละ 2 ขณะที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ร้อยละ 7 ฟิลิปปินส์ ร้อยละ 6 ส่วนเวียดนาม ต่ำกว่าร้อยละ 1 อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในปี 2575 ส่วนแบ่งตลาดด้านบริการ ATP ของเวียดนาม และมาเลเซีย จะขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 8 และร้อยละ 9 ตามลำดับ ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของไทย และฟิลิปปินส์ จะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1 และร้อยละ 5 ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ดึงดูดการลงทุนในบริการ ATP ได้แก่ แรงงานที่มีทักษะและมีค่าแรงต่ำ ความพร้อมของสาธารณูปโภคไฟฟ้าและน้ำประปา กฎระเบียบที่เอื้ออํานวยและอุปสรรคทางตลาดต่ำ ความปลอดภัยและนโยบายที่ดึงดูดการลงทุน เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์
เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์