การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซี่งได้ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดและเป็นที่จับตาทั่วโลก ล่าสุดค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า นายโจ ไบเดน ผู้แทนจากฝั่งเดโมแครตจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 สืบต่อจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งแพ้การเลือกตั้งในรอบที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี นายทรัมป์ยังคงฟ้องร้องการเลือกตั้งเพราะมองว่าขาดความชอบธรรม ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์ยืดเยื้อไปอีกระยะหนึ่ง
แม้สถานการณ์ที่ร้อนระอุในสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไป แต่ทางฝั่งเวียดนามมั่นใจว่า เวียดนามจะได้ประโยชน์อย่างแน่นอน โดยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 ก่อนที่ทั่วโลกจะได้ทราบชื่อของ President-elect รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า ไม่ว่าใครจะได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็เชื่อมั่นได้ว่า สหรัฐฯ จะยังคงพัฒนาความสัมพันธ์อย่างรอบด้านและเชิงลึก เพื่อให้สองประเทศขยายความสัมพันธ์ และสร้างสันติภาพ ความมั่นคง และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในภูมิภาคและของโลก นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำว่า เวียดนามมองสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนที่สำคัญอันดับต้น ๆ บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วม
ในช่วงที่ผ่านมา การบริหารที่เน้น “American First” ของนายโดนัล ทรัมป์ เวียดนามเองก็ได้ประโยชน์จากการทำสงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน โดยได้เกิดการโยกย้ายทุนออกจากจีนมายังเวียดนาม เช่น การลงทุนของ Apple ที่ผลิตหูฟัง AirPods ในเวียดนาม ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติรายอื่น ๆ ก็มองเวียดนามเป็นพื้นที่การลงทุนยุทธศาสตร์ที่จะย้ายการลงทุนออกจากจีน โดยสำนักข่าว Vietnam Economic News รายงานว่า ร้อยละ 42.3 ของผู้ประกอบการญี่ปุ่นอาจย้ายการลงทุนจากจีนมายังเวียดนาม ขณะที่หอการค้าเกาหลีใต้ประจำเวียดนามก็ระบุว่า นักลงทุนเกาหลีใต้อาจเลือกลงทุนในเวียดนาม เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า อย่างไรก็ดี ขณะนี้ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า คลื่น Blue Wave ของเดมโมแครตประสบผลสำเร็จ ทำให้นายโจ ไบเดนขึ้นมาเป็น President-elect ของสหรัฐฯ เวียดนามจะได้รับประโยชน์อย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ประการแรก ผู้เชี่ยวชาญสายเศรษฐศาสตร์เวียดนามประเมินว่า ไบเดนอาจพิจารณาการกลับเข้าร่วมความตกลง Trans-Pacific Partnership ที่ทรัมป์ได้ถอนตัวออกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งจะทำให้เวียดนามมีความตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อขยายการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ประการที่สอง แม้ทรัมป์จะไม่ได้เป็นประธานาธิบดีอีกต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้น กระแสการย้ายทุนจากจีนมายังเวียดนามจะยังคงเกิดขึ้นในสมัยของไบเดน
ประการที่สาม ไบเดนอาจเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีกำไรจากเงินลงทุน ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตกในระยะสั้น ต่อกรณีดังกล่าว สำนักข่าว VNExpress ได้เสนอความเห็นของนาย Andy Ho ประธานกลุ่มการลงทุนบริษัท VinaCapital ว่า เมื่อไบเดนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ การลงทุนทางอ้อมจากต่างประเทศ (Foreign Indirect Investment: FII) ในเวียดนามจะยังคงอยู่ในระดับดี หรืออาจดีกว่าปัจจุบัน เนื่องจากนักลงทุนอาจมองหาพื้นที่การลงทุนที่ให้ผลประโยชน์สูงกว่า
ปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 และเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเวียดนามได้ดุลการค้ากว่า 44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็เป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับที่ 11 ด้วยมูลค่าการลงทุนราว 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนไทยจึงอาจใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างเวียดนามกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) และระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) เป็นโอกาสเพิ่มช่องทางการทำธุรกิจ และขยายตลาดต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในปัจจุบัน มีนักลงทุนไทยทั้งรายใหญ่ รายกลางจำนวนไม่น้อยอาทิCP SCG ศรีไทย และเครือเซ็นทรัล ที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามเป็นที่เรียบร้อย
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย