สเปนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าในด้านเกษตรกรรมของโลก โดยในปี ค.ศ. 2018 สเปนส่งออกอาหารและผลผลิตทางการเกษตรมากที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก มูลค่า 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนแบ่งตลาดโลกร้อยละ 3.6 นอกจากนี้ ในสหภาพยุโรป สเปนยังได้รับการขนานนามว่าเป็น “อู่ข้าวอู่น้ําของยุโรป” มาเป็นเวลาช้านาน ดังจะเห็นได้จากการสเปนสามารถปลูกผลไม้และผักในปริมาณที่มากเป็นอันดับที่ 1 ส่งออกสินค้าเกษตรมากเป็นอันดับ 4 และมีพื้นที่เกษตรกรรมมากเป็นอันดับ 2 ที่ 17 ล้านเฮคเตอร์หรือร้อยละ 13 ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมดในสหภาพยุโรปด้วย
.
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน สัดส่วนของ GDP ในภาคอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรของสเปน จะมีเพียงร้อยละ 5.8 แต่หากรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกประเภทที่อยู่ในห่วงโซ่อาหารและการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ําแล้ว (ห่วงโซ่อาหารและการเกษตรต้นน้ํา หมายถึง การให้บริการและสินค้าแก่สาขาปฐมภูมิ เช่น ปุ๋ย เมล็ดพืช ในส่วนของห่วงโซ่ อาหารและการเกษตรปลายน้ํา ครอบคลุมถึงการบริการขนส่ง แจกจ่ายและขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภค) จะมีสัดส่วนของ GDP สูงถึงร้อยละ 111 และแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาคเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสเปน แต่สําหรับภาคอาหารและเกษตรกลับมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยจากสถิติช่วงเดือนเมษายน – ธันวาคม ค.ศ. 2020 สเปนสามารถส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร เป็นมูลค่าถึง 41 หมื่นล้านยูโร ขยายตัวขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าเกษตรและอาหารที่สเปนส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ผลไม้และถั่ว เนื้อสัตว์ ผัก เครื่องดื่ม น้ํามัน และไขมัน โดยผู้นําเข้ารายสําคัญ ได้แก่ สหภาพยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี รวมถึง สหราชอาณาจักร จีน และสหรัฐฯ
.
รัฐบาลสเปนได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอาหารและสินค้าเกษตร ซึ่งจะนำไปสู่การรักษาความเป็นผู้นําด้านการเกษตรของโลก โดยกระทรวงเกษตร การประมงและอาหารของสเปนได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีดิจิทัลในสาขาเกษตรและอาหาร ป่าไม้และ ชนบท (Digitisation Strategy for the Agri-Food and Forestry Sector and Rural Areas) ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2019 โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการผลิตอาหารและสินค้าเกษตร ควบคู่ไปกับการสร้างสภาพแวดล้อมให้ประชากรวัยหนุ่มสาวเข้าไปใช้ชีวิตและทํางานในชนบทเพิ่มขึ้น โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ 3 ข้อหลัก ได้แก่ (1) ลดช่องว่างทางดิจิทัล ทั้งในตัวเมือง – ชนบท บริษัท ขนาดเล็ก – ใหญ่ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการเชื่อมโยงได้ (2) ส่งเสริมการใช้ข้อมูล (Data) เพื่อพัฒนาสาขาอาหารและการเกษตร ป่าไม้และชนบท ผ่านการเปิดเผยและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคการวิจัย และภาคเอกชน และ (3) ส่งเสริมการพัฒนาบริษัทและธุรกิจรูปแบบใหม่ โดยคํานึงถึงเรื่องเกษตรอัจฉริยะและอุตสาหกรรม 4.0 ผ่านการสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมดิจิทัลให้แข็งแกร่ง เพื่อพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน การทําธุรกิจกับต่างประเทศและสร้างงานที่มีคุณภาพในสาขาอาหารและการเกษตร ทั้งนี้ การกําหนดแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้ ยังได้คํานึงถึงความสอดคล้องกับนโยบายอื่น ๆ ด้านการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลในระดับยุโรปและระดับชาติด้วย เช่น (1) นโยบายเกษตรร่วมหลังปี ค.ศ. 2020 (Common Agricultural Policy post 2020) (2) โครงการระบบนวัตกรรมและความรู้ทางการเกษตร (Agricultural Knowledge and Innovation Systems) ของสหภาพยุโรป (3) โครงการการขยายบรอดแบนด์สมัยใหม่ (Programa de Extension de Banda Ancha de Nueva Generacion) และ (4) ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมเชื่อมโยง 4.0 (Estrategia Industria Conectada 4.0) ของสเปน
.
นอกจากนี้ สเปนยังร่วมมือกับสหภาพยุโรปในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ในการพัฒนาสาขาอาหารและการเกษตร ผ่านโครงการ Internet of Food & Farm 2020 (loF 2020) ซึ่งริเริ่มโดยคณะกรรมาธิการยุโรปและมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งพัฒนาสาขาการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ภายใต้งบประมาณมากกว่า 30 ล้านยูโร มีโครงการนําร่อง 19 โครงการใน 5 สาขา ได้แก่ (1) การเพาะปลูก (2) นม (3) ผลไม้ มะกอกและ องุ่น (4) ผัก และ (5) เนื้อสัตว์ โดยมีตัวอย่างโครงการที่สเปนได้เข้าไปมีส่วนร่วม เช่น (1) โครงการห่วงโซ่การผลิตมะกอกอัตโนมัติ (Automated Oive Chain) นําโดยบริษัท Hispatec ผู้ผลิตซอฟต์แวร์และเกษตรอัจฉริยะ ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยี Tecnova และสหกรณ์ผู้ผลิตน้ํามันมะกอก DCOOP โครงการนี้เป็นการใช้ IoT เพื่อเฝ้าติดตามห่วงโซ่การผลิตมะกอก เช่น การติดตั้งเซนเซอร์วัดความชื้นในดินและอากาศที่ต้นไม้ และตัวรดน้ําต้นไม้ การติดตั้งโซลูชั่นบนเครื่องจักรที่ใช้ในการเก็บเกี่ยวและใช้อุปกรณ์ตรวจวัดความดันและอุณหภูมิที่โรงสกัดน้ํามันมะกอก ซึ่งผลการศึกษาพบว่า การใช้ IoT สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตได้ร้อยละ 10 ลดชั่วโมงการทํางานร้อยละ 10 ลดค่าใช้จ่ายร้อยละ 15 ลดการใช้พลังงานร้อยละ 15 ลดการใช้น้ําร้อยละ 15 และลดการใช้ปุ๋ยร้อยละ 10
.
(2) โครงการการจัดการห่วงโซ่สัตว์ปีก (Poultry Chain Management) ดําเนินการโดยศูนย์เทคโนโลยี Tekniker ร่วมกับบริษัท Grupo SADA ผู้ผลิตและจัดจําหน่ายเนื้อไก่ บริษัท Exafan ผู้ก่อสร้างฟาร์มเลี้ยงสัตว์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และบริษัท Porphyrio ผู้เชี่ยวชาญด้าน ICT สําหรับอุตสาหกรรมสัตว์ปีก โดยภายใต้โครงการดังกล่าวมีการติดตั้งเซนเซอร์เฝ้าติดตามห่วงโซ่การผลิตสัตว์ปีกทั้งในฟาร์มระหว่างการขนส่งและในโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งผลการศึกษาระบุว่า สามารถลดการตายของสัตว์ปีกได้ร้อยละ 10 และเพิ่มสวัสดิภาพสัตว์ร้อยละ 20 ลดการใช้น้ําร้อยละ 10 ลดค่าอาหารสัตว์ร้อยละ 10 ลดการตายของสัตว์ปีกระหว่างขนส่งร้อยละ 10 และลดการใช้ยาปฏิชีวนะร้อยละ 15
.
(3) โครงการนวัตกรรมห่วงโซ่คุณค่าในการปลูกพืชในโรงเรือน (Chain-integrated Greenhouse Production) นําโดยมหาวิทยาลัยอัลเมเรียร่วมกับสมาคมผู้ผลิตผลไม้และผักอัลเมเรียได้ทําการศึกษาห่วงโซ่ การผลิตและห่วงโซ่คุณค่าของการปลูกมะเขือเทศในโรงเรือนเพาะชําในสเปนและอิตาลี และใช้ระบบ ICT และ loT ในระบบการตรวจสอบย้อนกลับและระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System: DSS) ผลการศึกษาระบุว่า สามารถเพิ่มผลผลิตได้ร้อยละ 6.9 – 8.3 ลดค่าใช้จ่ายการเพาะปลูกร้อยละ 5.2 ลดการใช้ยาฆ่าศัตรูพืชร้อยละ 5.3 ลดการใช้น้ําร้อยละ 4.3 – 5.6 ลดการปล่อยน้ําเสียร้อยละ 5.3 และเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้พลังงานได้ร้อยละ 2.7-4.8
.
จากตัวอย่างที่นํามาแสดงข้างต้น ทําให้เห็นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลกําลังเข้ามีบทบาทสําคัญในการเพิ่ม ประสิทธิภาพการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรของสเปนมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้ง มีแนวโน้มที่ภาครัฐและเอกชน ของสเปนจะมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ในสาขาดังกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นอีกสาขาหนึ่งที่ไทยและสเปนจะสามารถพัฒนาความร่วมมือกันได้ต่อไปอนาคต ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจจะทําความรู้จักกับอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรกรรมสเปนในเชิงลึกอาจลองพิจารณาเข้าร่วมงาน Fruit Attraction 2021 ที่มีกําหนดจัดวันที่ 5 – 7 ตุลาคม 2564 ที่กรุงมาดริด โดยงานฯ จะจัดทั้งในรูปแบบปกติและออนไลน์ด้วย หรือเข้าร่วมงาน Alimentaria 2022 ระหว่างวันที่ 4 – 7 เมษายน 2565 ที่นครบาร์เซโลนาได้ ซึ่งทั้งสองงานเป็นงานแสดงสินค้าด้านเกษตรและอาหารที่ใหญ่ที่สุดของสเปนและอันดับต้นของยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมราว 100,000 คน/งาน
.
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาดริด