เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 Sheikh Mohammad Bin Rashid AI Maktoum รองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีของยูเออี และเจ้าผู้ครองรัฐดูไบได้ทรงประกาศแผนส่งเสริมอุตสาหกรรมของยูเออี 10 ปี ที่จะเพิ่มมูลค่า GDP ของยูเออีจาก 133,000 ล้านดีแรห์ม เป็น 300,000 ล้านดีแรห์มภายใน 10 ปี ซึ่งเรียกว่าแผนการปฏิบัติการแห่งชาติ “Operation 300bn” โดยมีเป้าหมายยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตของยูเออี ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีก้าวหน้าของยูเออีเป็นผู้รับผิดชอบ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเปิดโครงการ “Make it in the Emirates” เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์อุตสาหกรรมของยูเออีในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ ส่งเสริมสินค้ายูเออีในระดับโลก และสร้างศักยภาพในการแข่งขันของสินค้ายูเออีต่อไปในอนาคต
.
เป้าหมาย “Operation 300bn” ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ (1) การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดึงดูดต่อการดําเนินธุรกิจในยูเออีที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นและดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยให้ต่างชาติลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการได้ 100% ในการลงทุนในยูเออี (2) การเปิดตัวโครงการ “Make it in the Emirates” ให้เป็นโครงการระดับชาติ เพื่อส่งเสริมการสร้างมูลค่าและการสร้างความนิยมสินค้ายูเออีต่อผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ (3) การส่งเสริมนวัตกรรมและใช้เทคโนโลยีก้าวหน้าในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ในยูเออี และ (4) การสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อส่งเสริมตําแหน่งของยูเออีให้เป็นฮับผู้นําในระดับโลกในอุตสาหกรรมการผลิตในอนาคต ทั้งนี้ เป้าหมายของยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปดังกล่าวเพื่อสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรม SMEs ในประเทศให้เพิ่มจํานวนขึ้นเป็น 13,500 บริษัทภายในปี 2031 และจะเพิ่มงบวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศจาก 21,000 ล้านดีแรห์ม ให้เป็น 57,000 ล้านดีแรห์มในอนาคต ขณะนี้ยูเออีมีจํานวนบริษัทอุตสาหกรรมในประเทศ 33,000 บริษัทซึ่งเป็น SMEs ถึงร้อยละ 95 ทั้งนี้ Sheikh Mohammed ยังได้ทรงตรัสว่ายุทธศาสตร์อุตสาหกรรมยูเออีจะเป็นก้าวสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของยูเออีในอีก 50 ปีข้างหน้าให้ก้าวไปได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
.
นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ 4 ด้านในการพัฒนาอุตสาหรรมยูเออี ได้แก่ (1) การเพิ่มผลิตภาพ (2) การส่งเสริมการจ้างงาน (3) การส่งเสริมการปรับปรุงทักษะแรงงาน และ(4) การสร้างศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ สําหรับภาคส่วนที่ยูเออีให้ความสําคัญเร่งด่วน ได้แก่ พลังงาน ปิโตรเคมี พลาสติก การผลิตโลหะภัณฑ์ อาหาร สินค้าการเกษตรกรรม การผลิตน้ำ และสาธารณสุข สําหรับอุตสาหกรรมในอนาคตที่วางเป้าหมายไว้ ได้แก่ เทคโนโลยีอวกาศ การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์และเภสัชกรรม พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน (การผลิตไฮโดรเจน) การผลิต เครื่องจักรและอุปกรณ์ อุตสาหกรรมยางและพลาสติก เคมีภัณฑ์ การผลิตที่ใช้เทคโนโลยีก้าวหน้า ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (gadget) และอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
.
โดยโครงการ In-Country Value (ICV) ของยูเออีเป็นส่วนหนึ่งของโครงการยุทธศาสตร์สำคัญ (Key Strategy Objectives) ในแผนการปฏิบัติการแห่งชาติ “Operation 300bn” ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเพิ่มมูลค่าในประเทศในสินค้าอุตสาหกรรมและบริการ การส่งเสริมอุปสงค์ของสินค้าที่ผลิตโดยท้องถิ่นและส่งเสริมการลงทุนใน R&D และการให้สิ่งจูงใจให้บริษัทต่าง ๆ ใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าในห่วงโซ่การผลิต อนึ่ง ขณะนี้อุตสาหกรรมการผลิตและเหมืองแร่ของยูเออี คิดเป็นร้อยละ 38 ของ GDP ยูเออีในปี 2019 จากมูลค่าทั้งหมด 569,000 ล้านดีแรห์ม สําหรับโครงการสินค้าที่ผลิตในยูเออีภายใต้อัตลักษณ์ยี่ห้อสินค้าอุตสาหกรรมร่วมกัน (The Unified Industrial Brand Identity – UIBI) ก็ได้เริ่มมีการเปิดตัวแล้วอันเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมใหม่ของยูเออี ซึ่งอยู่ภายใต้ UAE National Brand โดยมีเป้าหมายให้สินค้าที่ผลิตในยูเออีมีมาตรฐานสูงที่สุดในระดับนานาชาติและจะส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่นและนักลงทุนต่างชาติ นวัตกรและผู้พัฒนาอุตสาหกรรมมาใช้สิ่งอํานวยความสะดวกและสิ่งจูงใจต่าง ๆ ที่ยูเออีให้กับผู้ผลิตและส่งออกสินค้า และจะส่งเสริมให้สินค้าที่ผลิตในยูเออีเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทั่วโลกซื้อหาโดยมั่นใจในคุณภาพสินค้าที่เหนือกว่าประเทศอื่นๆ และสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ยูเออีที่กําหนดมาตรฐานสินค้าไว้อย่างเข้มงวด โดยให้มีผลิตภาพและประสิทธิภาพในการผลิตสูงในหมู่ผลิตภัณฑ์ในระดับโลกอื่น ๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมแนวความคิดของผู้ผลิตและคนยูเออีและคนต่างชาติได้ทราบถึงวัฒนธรรมในการส่งเสริมนวัตกรรมของยูเออีด้วย
.
ผู้ประกอบการไทยอาจศึกษา “Operation 300bn” เพิ่มเติมเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกั
.
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ