ชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่เป็นผู้ใส่ใจเรื่องการดูแลสุขภาพ ยิ่งในช่วงปีที่ผ่านมาซึ่งมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไว้รัส COVID-19 ชาวสิงคโปร์ทุกช่วงวัยยิ่งให้ความสนใจในการดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น โดยตระหนักว่าการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงจะช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ดังนั้น ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดสินค้าออร์แกนิคในสิงคโปร์จึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก NTUC FairPrice กลุ่มบริษัทซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่สุดและมีสาขามากที่สุดในสิงคโปร์ ระบุว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สินค้าและผลิตภัณฑ์อาหารออร์แกนิคทั้งสดและแห้งที่ FairPrice นำมาจำหน่ายเพิ่มขึ้นจาก 200 รายการ เป็น 800 รายการในปัจจุบัน และมียอดจำหน่ายสินค้าออร์แกนิคยังคงเติบโตขึ้นทุกปี
.
สาเหตุสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์เป็นตลาดสินค้าออร์แกนิคที่น่าจับตามอง คือ รูปแบบการดำเนินชีวิตของชาวสิงคโปร์ที่ชอบความเป็นระบบ มีระเบียบ การศึกษาสูง ทำให้มีรายได้ค่อนข้างสูงและมีกำลังซื้อโดยเฉลี่ยสูงกว่าประชาชนของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวสิงคโปร์จำนวนไม่น้อยจึงยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น กอปรกับคณะกรรมการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion Board: HPB) ของรัฐบาลสิงคโปร์ มีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านการบริโภค โดยเน้นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ควบคู่กับการออกกำลังกายมากขึ้น นอกจากนี้ สิงคโปร์มีกลุ่มประชากรผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) มากกว่า 30% และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดสินค้าและบริการด้านสุขภาพมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน โดยที่สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ และไม่มีที่ดินสำหรับการเกษตร ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศมากกว่า 90% ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้พยายามเพิ่มการผลิตอาหารภายในประเทศโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ Urban Farming โดยตั้งเป้าหมายการเพิ่มการผลิตอาหารภายในประเทศให้ได้ 30% ภายในปี ค.ศ. 2030 (30×30 Policy) อย่างไรก็ตาม อาหารที่สิงคโปร์ผลิตเองได้ยังคงเป็นผัก ไข่ไก่ และปลา และยังคงต้องนำเข้าผลไม้สดจากต่างประเทศ ผู้ประกอบการไทยจึงยังคงมีโอกาสในการเพิ่มพูนการส่งออกผลไม้คุณภาพดีไปยังสิงคโปร์ได้ โดยผลไม้ที่เป็นที่นิยมในสิงคโปร์ ได้แก่ สัปปะรด มังคุด ลิ้นจี่ ลำไย และทุเรียน
.
สถานการณ์ตลาดผลไม้ในสิงคโปร์ ณ ปัจจุบัน
.
ประเทศที่สิงคโปร์นำเข้าผลไม้มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) สหรัฐฯ (14.78%) 2) จีน (12.15%) 3) มาเลเซีย (10.90%) 4) ออสเตรเลีย (9.33%) และ 5) แอฟริกาใต้ (6.46%) โดยนำเข้าผลไม้จากไทยเป็นอันดับที่ 8 มีส่วนแบ่งการตลาด 4.67% ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตฯ เห็นว่า ผู้ประกอบการไทยยังมีโอกาสที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของสินค้าผลไม้ในสิงคโปร์อีกมาก
.
สถิติการส่งออกผลไม้ไทยมายังสิงคโปร์ ประจำปี 2563 ของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ สิงคโปร์ ระบุว่า กลุ่มผลไม้ที่สิงคโปร์นำเข้าจากประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) สัปปะรด อะโวคาโด ฝรั่ง มะม่วง มังคุด (41.20%) 2) ทุเรียน ทับทิม มะขาม (25.97%) 3) เมลอน แตงโม มะละกอสด (3.20%) 4) ผลไม้อบแห้ง (2.37%) และ 5) ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว อาทิ มะนาว ทั้งสดและแห้ง (1.64%)
.
อย่างไรก็ตาม คู่แข่งสำคัญของผลไม้ไทยในตลาดสิงคโปร์ ได้แก่ (1) ผลไม้เมืองหนาวจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้บริโภคชาวสิงคโปร์ แต่ก็มีราคาที่สูงมากเช่นกัน และ (2) ประเทศเพื่อนบ้านที่มีผลไม้ใกล้เคียงกับไทย เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย พม่า ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก โดยจะต้องรักษาคุณภาพให้ได้มาตรฐาน ตั้งแต่กระบวนการเตรียมหน้าดินด้วยวิธีธรรมชาติและใช้เมล็ดพันธุ์ที่ปลอดภัย รวมถึงการควบคุมปริมาณสารตกค้าง ซึ่งต้องไม่เกินมาตรฐานที่ทาง Singapore Food Agency (SFA) กำหนด เพื่อการป้องกันไม่ให้สินค้าถูกปฏิเสธการนำเข้าสิงคโปร์
.
อนึ่ง การนำเข้าผลไม้ในสิงคโปร์ไม่ใช่เพียงแต่นำเข้าเพื่อการบริโภคในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการนำเข้าเพื่อการส่งออกต่อ (re-export) ไปยังอินโดนีเซียและบรูไนด้วย ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรรักษาคุณภาพและมาตรฐาน เพื่อการส่งออกไปยังประเทศที่ 3 ต่อไป
.
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์
.
ขอบคุณรูปภาพจาก: https://mgronline.com/business/detail/9610000024412