ภาคกลางตอนล่างและภาคใต้ของเวียดนามต่างมีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม บริเวณดังกล่าวมีแสงอาทิตย์เฉลี่ยตั้งแต่ 1,900-2,900 ชั่วโมง/ปี และมีความเข้มของแสงอาทิตย์สูงเฉลี่ย 4-5 กิโลวัตต์/ตารางเมตร โดยจังหวัดนินห์ถ่วน เป็นจังหวัดที่มีความเข้มของแสงอาทิตย์สูงสุด และเป็นพื้นที่ที่มีโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับอนุมัติมากที่สุดในประเทศคือกว่า 27 โครงการ ศักยภาพการผลิตประมาณ 2,000 เมกะวัตต์ รองลงมาคือจังหวัดบินห์ถ่วน และจังหวัดอื่น ๆ เช่น ฟู้เอียน เต็ยนินห์ คั้นห์กว่า กว๋างหงาย และด่งนาย เป็นต้น [su_spacer size=”20″]
ในส่วนของพลังงานลม เวียดนามได้รับการประเมินจากธนาคารโลกว่ามีศักยภาพในการพัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานลมถึง 27 กิกะวัตต์ ณ ระดับความเร็วลม 7-9 เมตร/ วินาที ที่ระดับความสูง 65 เมตร โดยปัจจุบันมีโครงการไฟฟ้าพลังงานลมที่ได้รับการอนุมัติและดำเนินการผลิตแล้ว 7 โครงการ ศักยภาพ การผลิตเพียง 197 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดนินห์ถ่วนและบากเลียว นอกจากนี้จังหวัดที่มีศักยภาพลมสูง อาทิ จ่าวินห์ บิ่นห์ถ่วน เบ๊นแจ และก่าเมา ด้วยศักยภาพดังกล่าว จึงทำให้รัฐบาลเวียด นามกำหนดให้จังหวัดนินห์ถ่วนเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานหมุนเวียนของประเทศ [su_spacer size=”20″]
แผนแม่บทด้านพลังงานเวียดนามปี 2559-2563 กำหนดให้มีการพัฒนาขีดความสามารถการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ 850 เมกะวัตต์ภายในปี 2563 และ 4,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 ในส่วนของพลังงานลม ตั้งเป้าหมายการผลิตที่ 800 เมกะวัตต์ในปี 2563 และ 2,000 และ 6,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 และ 2573 ตามลำดับ ทั้งนี้ปัจจุบันมีโครงการไฟฟ้าพลังงานลมที่เริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์แล้วเพียง 5 โครงการ ศักยภาพรวม 190 เมกะวัตต์ (หรือคิดเป็น 24% ของเป้าหมาย 800 เมกะวัตต์) [su_spacer size=”20″]
ด้วยศักยภาพและแผนแม่บทข้างต้น ทำให้ปัจจุบันมีเอกชนไทยให้ความสนใจเข้ามาลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนในเวียดนามค่อนข้างมากประมาณ 5-6 บริษัท ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม โดยเฉพาะในเขตกงสุลทางภาคกลางตอนล่างและภาคใต้ ล่าสุดได้มีการลงทุนโครงการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่จังหวัดฟู้เอียน โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท Truong Thanh Viet Nam Group Joint Stock Company มูลค่า 35.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีศักยภาพการผลิต 257 เมกะวัตต์ และได้มีการลงนามในสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement-PPA) ระยะเวลา 20 ปี กับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) แล้ว คาดว่าจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2562 [su_spacer size=”20″]
ทั้งนี้ หากรวมกับการลงทุนโครงการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่บริษัทฯ ได้ลงนามความตกลงร่วมทุนก่อนหน้านี้ ซึ่งมีกำลังการผลิต 420 เมกะวัตต์ ก็จะทำให้บริษัท บี. กริมฯ เป็นบริษัทที่ลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในเวียดนามและอาเซียน นอกจากนี้ ยังมีภาคเอกชนไทยที่ให้ความสนใจจะลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ในจังหวัดนินห์ถ่วน ซึ่งมีศักยภาพด้านนี้มากที่สุดในเวียดนาม [su_spacer size=”20″]
สำหรับพลังงานลมนั้น ในปีนี้มีการลงทุนของบริษัทซุปเปอร์บล็อกฯ จากประเทศไทย ระยะแรก มูลค่า 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจังหวัดบากเลียว ซ็อกจาง และก่าเมา ศักยภาพการผลิตไฟฟ้า 142 98 และ 100 เมกะวัตต์ ตามลำดับ รวมถึงบริษัทบ้านปู เพาเวอร์ฯ มูลค่า 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังการผลิต 80 เมกะวัตต์ ด้วย [su_spacer size=”20″]
เพื่อรองรับกระแสการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนดังกล่าว รัฐบาลเวียดนามได้ออกกฎหมายและกฎระเบียบใหม่ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ [su_spacer size=”20″]
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2561 รัฐบาลเวียดนามได้ผ่านข้อมติหมายเลข 115 ขยายระยะเวลาการรับซื้อพลังงานแสงอาทิตย์ราคา 9.35 cent/ kWh ในจังหวัดนินห์ถ่วน จากวันที่เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date: COD) ออกไปจนถึงสิ้นปี 2563 และปรับใช้กับสัญญาซื้อขายพลังงาน (PPA) เป็นระยะเวลา 20 ปี สำหรับศักยภาพการผลิตจำนวน 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งได้รับการอนุมัติโดยนายกรัฐมนตรีเวียดนาม แต่ข้อมติหมายเลข 115 นี้ ครอบคลุมเฉพาะโครงการเดิมที่อนุมัติโดยนายกรัฐมนตรีเวียดนามแล้วเท่านั้น ซึ่งตามรายงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม มีโครงการที่ได้รับอนุมัติและบรรจุเข้าไปในแผนพลังงานของจังหวัดแล้วกว่า 1,900 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ข้อมติดังกล่าว ไม่ครอบคลุมถึงโครงการในอนาคตและโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็กที่อนุมัติโดยจังหวัด (ศักยภาพการผลิตตํ่ากว่า 50 เมกะวัตต์) [su_spacer size=”20″]
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2561 นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้อนุมัติคำสั่งหมายเลข 39 มีสาระสำคัญคือการปรับ FiT พลังงานลมจาก 7.8 cent/ kWh เป็น 8.5 cent/ kWh และ 9.8 cent/ kWh สำหรับการผลิตบนชายฝั่งและนอกชายฝั่งตามลำดับ โดยต้องเป็นโครงการที่ COD ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ปรับให้สัญญาซื้อขายพลังงาน (PPA) เป็นระยะเวลา 20 ปี ซึ่งได้รับการอนุมัติโดยนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังสั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าศึกษาและเสนอกลไกพิเศษในการพัฒนาและผลิตอุปกรณ์ด้านพลังงานลมและเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ดังกล่าวภายในเวียดนามด้วย โดยโครงการต่าง ๆ จะเริ่มก่อสร้างได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตก่อสร้างจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการลงนามใน PPA ความตกลงการสร้างสายส่งและจ่ายไฟฟ้า และส่งรายงานการวัดความเร็วลมย้อนหลัง 12 เดือนแล้วเท่านั้น [su_spacer size=”20″]
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนก็ควรพิจารณาทั้งโอกาสและความท้าทายควบคู่กันไป ทั้งในด้านความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน สาระสำคัญของ PPA ประเด็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น [su_spacer size=”20″]
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์