อุตสาหกรรมการประมง นับว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่ทำรายได้ให้แก่ไทย เนื่องด้วยสินค้าจากอุตสาหกรรมการประมงของไทยสามารถสร้างรายได้ให้แก่ภาคการส่งออกของประเทศถึงกว่า 60,000ล้านบาทต่อปี ซึ่งมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ ๙ จากมูลค่าของอุตสาหกรรมภาคเกษตรกรรมโดยรวมของไทย (กสิกรรม ปศุสัตว์ ประมง) แต่หากพิจารณาถึงอุปสรรคของอุตสาหกรรมการประมงไทยก็จะพบว่า หนึ่งในปัญหาประการสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบอย่างหนัก นั่นคือ ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported, and Unregulated Fishing Measures – IUU) [su_spacer size=”20″]
การทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) มีที่มาเริ่มต้นจากอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 (UN Convention on the Law of the Sea – UNCLOS) ข้อ 61 ที่ว่าด้วยเรื่องการอนุรักษ์ และ ข้อ 62 ที่ว่าด้วยเรื่องการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน และจรรยาบรรณว่าด้วยการทำประมงอย่างรับผิดชอบ (FAOs Code of Conduct for Responsible Fisheries: CCRF) ซึ่งองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations – FAO) กำหนดขึ้น เนื่องจากแหล่งทำการประมงของโลกกำลังถูกทำลายด้วยการทำประมงที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้จำนวนสัตว์น้ำในทะเลลดลงอย่างรวดเร็วเกินกว่าธรรมชาติจะผลิตขึ้นมาทดแทนใหม่ได้ทัน และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเนื่องไปถึงระบบห่วงโซ่อาหารและความสมดุลทางระบบนิเวศทางทะเลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงมีข้อตกลงร่วมกันในประเทศสมาชิก FAO ให้นำแผนปฏิบัติการสากลว่าด้วยการป้องกัน ลด และเลิกการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (FAOs International Plan of Action on Prevent, Deter, and Eliminate Illegal, Unreported, and Unregulated Fishing Measures : IPOA-IUU) ไปปฏิบัติใช้[su_spacer size=”20″]
หลังจากมีแผนปฏิบัติการสากลดังกล่าวออกมา สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งถือเป็นภูมิภาคสำคัญที่นำเข้าสินค้าประมงจากนอกภูมิภาค คิดเป็นมูลค่าร้อยละ 24 จากมูลค่าสินค้าประมงทั่วโลก ได้นำแผนการนี้ไปพัฒนาต่อยอดอย่างจริงจัง เพื่อแสดงจุดยืนต่อการทำประมงที่ผิดกฎหมาย จนออกมาเป็นแผนปฏิบัติการของตนเองในชื่อ EU IUU Regulation ซึ่งมีผลกระทบต่อไทย โดยสหภาพยุโรปตรวจพบว่า ไทยมีการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม จึงได้ออก “ใบเหลือง” แก่ไทยเมื่อปี 2558 ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสินค้าประมงไทยเป็นอย่างมาก และหากสถานะของไทยเลื่อนเข้าสู่ “ใบแดง” ก็จะเกิดภาวะ กีดกันทางการค้า สินค้าประมงจากไทยจะไม่สามารถส่งเข้าสู่ตลาดในสหภาพยุโรปได้อีกต่อไป ซึ่งรัฐบาลไทยมิได้นิ่งนอนใจ แต่ได้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อยกระดับการทำประมงของไทยอย่างจริงจังและต่อเนื่อง[su_spacer size=”20″]
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ไทยเท่านั้นที่ได้รับการเตือนดังกล่าว ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเวียดนามก็ได้รับใบเหลืองจากสหภาพยุโรปด้วยเช่นกัน โดยสหภาพยุโรปได้ออกใบเหลืองให้เวียดนามเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลเวียดนามเร่งออกมาตรการที่ตั้งเป้าหมายให้สหภาพยุโรปถอนการออกใบเหลืองภายใน 6 เดือน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้[su_spacer size=”20″]
- สภาแห่งชาติเวียดนาม มีมติรับรองกฎหมายประมงฉบับปรับปรุงที่ได้เพิ่มมาตรการส่งเสริม การพัฒนาทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการของกระทรวงเกษตรกรรมและการพัฒนาชนบทเวียดนาม (The Ministry of Agriculture and Rural Development – MARD) ที่สอดคล้องกับคำแนะนำของสหภาพยุโรป ทั้งนี้ กฎหมายที่ปรับปรุงจะมีผลบังคับใช้กับบริษัทส่งออกของเวียดนามและบริษัทของต่างชาติ
- กฎหมายที่ปรับปรุงใหม่ ได้กำหนดค่าปรับกรณีทำประมงผิดกฎหมายในระดับที่สูงมาก โดยเจ้าของเรือประมงและกัปตัน จะมีโทษปรับสูงสุดถึง 1 พันล้านด่อง (หรือประมาณ 1.43 ล้านบาท) หรือจ่ายค่าปรับ 7 เท่าของมูลค่าสินค้าประมงที่ผิดกฎหมาย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการทำประมงผิดกฎหมาย จะมีโทษปรับสูงสุดถึง 2 พันล้านด่อง (หรือประมาณ 2.86 ล้านบาท) รวมทั้งจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำการประมง
- ท่าเรือจะควบคุมการเข้าออกของเรือประมง และปริมาณอาหารทะเลที่ออกจากท่าเรือ โดยใช้เทคโนโลยีและทรัพยากรบุคคลที่เหมาะสมในการจัดทำระบบข้อมูล รวมทั้งลูกเรือประมงจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าว[su_spacer size=”20″]
แน่นอนว่าลักษณะปัญหาของแต่ละประเทศย่อมมีความเหมือนและความต่างกันในรายละเอียด เนื่องด้วยความแตกต่างในลักษณะการทำประมง ซึ่งในเรื่องนี้ภาครัฐ ภาคเอกชน ภารประชาสังคมในประเทศ จำเป็นต้องสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งในและนอกภูมิภาค เพื่อลดการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อช่วยรักษาสภาพแวดล้อมทางทะเล สร้างคุณภาพชีวิตลูกเรือประมงที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมประมงที่สร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาลอีกด้วย[su_spacer size=”20″]
ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์
กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย