โครงการ Make it in the Emirates งานเสวนาเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของยูเออี จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ณ กรุงอาบูดาบี โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง (Ministry of Industry and Advanced Technology – MolAT) กรมพัฒนาเศรษฐกิจอาบูดาบี (Abu Dhabi Department of Economic Development – ADDED) และบริษัทน้ํามันแห่งชาติอาบูดาบี (Abu Dhabi National Oil Company – ADNOC)
ภายในงานได้กล่าวถึง นโยบายของยูเออีที่เน้นเจาะตลาดของประเทศที่คาดว่าจะมีการเติบโตทาง เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และมีระดับความต้องการการบริโภคสินค้าและผลิตภัณฑ์มาก โดยยูเออีมีแผนที่จะลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (CEPA) กับอีกหลายประเทศ (ประมาณ 4 ถึง 5 ฉบับ ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2566) โดยโครงการ Make it in the Emirates จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับผู้ผลิตในยูเออีเอง รวมทั้งดึงดูด FDI และสร้างระบบนิเวศเพื่ออํานวยการขยายธุรกิจของยูเออีได้อีกเช่นกัน การจัดทํา CEPA ระหว่างอินเดียอิสราเอล อินโดนีเซีย และทูร์เคีย ที่ผ่านมาส่งผลสําเร็จเป็นอย่างมาก โดยยูเออีสามารถเพิ่มจํานวนผู้ผลิตสินค้าในประเทศได้ถึงจํานวน 1.6 ล้านคน และส่งออกสินค้าที่ผลิตภายในยูเออีไปยังผู้บริโภคมากกว่า 2.2 พันล้านคน และคาดได้ว่าจะช่วยเพิ่ม GDP ของยูเออี ได้มากกว่าร้อยละ 2.6 ภายในปี พ.ศ. 2574 และช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าจากยูเออีได้มากกว่า 120 พันล้าน เหรียญสหรัฐในอีก 10 ปีข้างหน้า
โครงการ Make it in the Emirates ประกอบด้วยโครงการสนับสนุนอีก 2 โครงการ ได้แก่ (1) การกระตุ้น SMEs ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านเพื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ภายในระยะเวลา 5 ปี และ (2) การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการผลิตอัจฉริยะเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งทั้งสองโครงการข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านอุตสาหกรรมของรัฐอาบูดาบี และสนับสนุนความพยายามของบริษัททั้งในและต่างประเทศในการสร้างระบบที่เป็นนวัตกรรมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน รัฐอาบูดาบีได้วางแผนที่จะขยายภาคอุตสาหกรรมให้ใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าตัว ด้วยกําลังทุน 10 พันล้านดีแรห์ม ที่จัดสรรไว้เพื่อใช้ในการเพิ่มการผลิตสองเท่าตัวเป็น 172 พันล้านดีแรห์ม และสร้างงานให้ผู้ที่มีทักษะเฉพาะทางมากกว่า 1.36 หมื่นตําแหน่ง และเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ํามันของยูเออีให้เป็น 178.8 พันล้านดีแรห์ม ภายในปี พ.ศ. 2574 ทั้งนี้ รัฐอาบูดาบีเป็นเมืองที่นักลงทุน FDI สนใจเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสนับสนุนทางการเงินแก่ SMEs ในภาคอุตสาหกรรมในรัฐอาบูดาบี และจะเป็นส่วนสําคัญที่จะช่วยเพิ่ม GDP รายได้ที่ไม่ใช่น้ํามันของยูเออีได้อีกด้วย
นอกจากโครงการข้างต้น ยังมีศูนย์การค้าแห่งแรกในดูไบ (Dubai Multi Commodities Centre: DMCC) ที่คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2566 โดยตั้งเป้าดึงดูดการลงทุนจากบริษัทด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการด้านวิเคราะห์ข้อมูล และการให้บริการด้านเทคโนโลยี AI อย่างเต็มรูปแบบ ตามวิสัยทัศน์ UAE Cntennial 2071 ปัจจุบัน เทคโนโลยี VR AI และ Metaverse สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับยูเออีมากถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างงานสูงถึง 6,700 ตำแหน่ง
ยุทธศาสตร์ชาติด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงของยูเออีจะมีส่วนช่วยพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและสนับสนุนการเติบโตของยูเออีในฐานะศูนย์กลางในการผลิตนวัตกรรมภาคอุตสาหกรรมระดับโลก จากงานเสวนาฯ ครั้งที่ 1 พบว่า มีกลุ่มบริษัทชั้นนําได้ทําข้อตกลงกับบริษัทในยูเออี ซื้อสินค้า ‘Make it in the Emirates’ เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยในปัจจุบัน (ปีแรกหลังจากทําข้อตกลง) มีมูลค่าการซื้อขายประมาณ 3.1 หมื่นล้านดีแรห์ม หรือคิดเป็นร้อยละ 28 ของจํานวนที่ระบุตามข้อตกลง และจากการเสวนาฯ ครั้งล่าสุด ยูเออีพร้อมวางแผนเพิ่มการจัดทําข้อตกลงฯ เพื่อขยายมูลค่าการค้าอีก 9 หมื่นล้านดีแรห์ม
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี
เรียบเรียงโดย ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์