เยอรมนีได้ออก The Supply Chain Due Diligence Act พรบ. ฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม เช่น แรงงานเด็ก สิทธิแรงงาน การปกป้องป่าไม้ การสร้างมลพิษ ในห่วงโซ่การผลิตของผู้ผลิตสินค้าให้แก่ตลาดเยอรมนี
พรบ. ดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากการออกแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (The National Action Plan for Business and Human Rights: NAP) ของรัฐบาลเยอรมนีเมื่อปี 2559 โดย NAP มีเป้าหมายปกป้องสิทธิมนุษยชนในแวดวงธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการละเมิด ซึ่งเดิมกำหนดให้บริษัทเยอรมนีกำกับดูแลกิจการ ตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน (supply chain due diligence) ด้วยความสมัครใจ ซึ่งการสำรวจในปี 2563 พบว่ามีบริษัทที่ดำเนินการตามเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น จึงเป็นเหตุผลของการเดินหน้าออก พรบ. ฉบับใหม่ เพื่อให้เกิดสภาพบังคับ ทั้งนี้ พรบ. The Supply Chain Due Diligence Act มีผลบังคับใช้ล่วงหน้าถึง 1-2 ปี ก่อนที่ร่างกฎหมาย EU คือ EU Directive on Corporate Sustainability Due Diligence จะมีผลบังคับใช้
ปัจจุบัน บริษัทเยอรมนีมีหน้าที่หลัก 6 ข้อ ที่จะต้องดำเนินการตาม พรบ. ฉบับใหม่ ได้แก่
- ตั้งระบบบริหารความเสี่ยง
- มีผู้รับผิดชอบการดำเนินงานภายในบริษัท
- ประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอและมีนโยบายรองรับ
- มีการวางมาตรการป้องกันการละเมิด
- มีช่องทางการร้องเรียนและแนวทางปรับปรุงพัฒนา
- การจัดทำรายงานผล

พรบ. แบ่งการบังคับใช้เป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก ตั้งแต่ปี 2566 ให้บริษัทในเยอรมนีที่มีพนักงานมากกว่า 3,000 คน ต้องมีการบริหารความเสี่ยงและให้การบริหารพนักงานเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งรายงานผลอย่างเปิดเผยในเว็บไซต์บริษัท ระยะที่สอง ตั้งแต่ปี 2567 กำหนดให้บริษัทที่มีพนักงาน 1,000 คนขึ้นไป ต้องดำเนินการบริหารความเสี่ยงข้างต้นด้วย ทั้งนี้ SMEs ไม่เข้าข่ายการบังคับใช้ใน พรบ. แต่หากเป็นส่วนหนึ่งของ supply chain ของบริษัทที่ถูก พรบ. นี้บังคับใช้ SMEs นั้น ๆ ก็เข้าข่ายการบังคับใช้ทางอ้อมผ่านมาตรการของบริษัทนั้น ๆ ด้วย
จากการประเมินพบว่า บริษัทเยอรมันที่เข้าข่ายบังคับใช้ พรบ. ปี 2566 มีประมาณ 700 แห่ง และอีก 2,900 แห่งที่เข้าข่ายบังคับใช้ในปี 2567 ซึ่ง The Federal Office for Economic Affairs and Export Control (BAFA) จะเป็นหน่วยงานหลักที่บังคับใช้ พรบ. โดยสามารถตรวจสอบรายงาน เรียกดูหลักฐานเพิ่มเติม บังคับให้บริษัทปฏิบัติตามกฎหมาย และมีอำนาจปรับบริษัทที่ละเมิด พรบ. ได้สูงถึง 800,000 ยูโร (สำหรับบริษัทที่มีรายได้มากกว่า
400 ล้านยูโร/ปี อาจถูกปรับได้ถึง 2% ของรายได้ ซึ่งสูงถึง 8 ล้านยูโร)
ผลกระทบต่อไทย
ภาคเอกชนเยอรมันอยู่ระหว่างปรับตัวตาม พรบ. ฉบับใหม่ ซึ่งพบอุปสรรคสำคัญเรื่องความพร้อมในการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง (risk management) และค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในการจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน IT เพื่อรองรับการวางระบบบริหารความเสี่ยงและการจัดทำรายงาน
ทั้งนี้ ไม่เพียง พรบ. ฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ต่อบริษัทเยอรมันเท่านั้น หากยังมีผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติรวมถึงเอกชนไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทเยอรมันด้วย โดยเฉพาะบริษัทที่เป็น suppliers ให้แก่บริษัทเยอรมันที่อยู่ในข่าย นอกจากนี้ พรบ. ยังมีผลบังคับใช้ต่อบริษัทของไทยที่ตั้งอยู่ในเยอรมนีและเข้าเกณฑ์การบังคับใช้ของ พรบ. ด้วยเช่นกัน ดังนั้น คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ประเด็นอ่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน อาทิ การบังคับแรงงาน เป็นสิ่งที่ภาคเอกชนไทยต้องพึงระวังและมีกลไกรองรับเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานเดียวกันกับภาคเอกชนต่างประเทศ เช่น เยอรมนี ต่อไปในอนาคต


สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน
เรียบเรียงโดย ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์